ตามทฤษฎีการแบ่งอำนาจอธิปไตยของ Montesqieu จำแนกอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3ฝ่าย คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการนั้น เป็นสิ่งที่ประเทศต่างๆยึดถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนขอบเขตอำนาจหน้าที่ของอำนาจแต่ละฝ่ายจะเป็นเช่นใดนั้น Gabriel Almond กับJames Coleman ได้จำแนกหน้าที่ที่ระบบการเมืองหนึ่ง
ๆ ต้องถือปฏิบัติ มี 3 ประการ
คือ
-หน้าที่ของการจัดทำข้อกำหนด
กฎข้อบังคับ (rule making)
-หน้าที่ในการนำกฎข้อบังคับไปสู่การปฏิบัติ (rule application)
-และหน้าที่ในการตีความกฎข้อบังคับเมื่อเกิดกรณีขัดแย้งหรือเกิดการละเมิด (rule adjudication)
หากพิจารณาอย่างเคร่งครัดและยอมรับร่วมกันว่ากฎข้อบังคับคือนโยบายสาธารณะโดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้นที่มีหน้าที่ในการจัดทำหรือกำหนดนโยบายสาธารณะ
ส่วนฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการนำเอานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จ และฝ่ายศาลหรืออำนาจตุลาการมีหน้าที่ในการตีความนโยบายสาธารณะเมื่อเกิดกรณีขัดแย้งหรือละเมิดขึ้น
แต่สภาพความเป็นจริงในประเทศต่าง
ๆ การแบ่งอำนาจและหน้าที่ของทั้ง 3 ฝ่ายมิได้เป็นไปตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทั้งนี้ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีรูปแบบของรัฐบาลเป็นระบบรัฐสภา
หรือระบบประธานาธิบดี ในปัจจุบันเราจะพบว่าฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐบาลเป็นฝ่ายที่มีบทบาทที่สำคัญในการกำหนดนโยบายสาธารณะ
และจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นและมีบทบาทมากกว่าฝ่ายอำนาจนิติบัญญัติ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่า
- ฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐบาลเป็นฝ่ายที่มีอำนาจบังคับบัญชาควบคุมฝ่ายราชการประจำทั้งทหารและพลเรือน
ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลไกสำคัญในการนำเอานโยบายสาธารณะที่กำหนดขึ้นไปปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จในขณะที่ฝ่ายอำนาจนิติบัญญัติไม่มีกลไกโดยเฉพาะของตนเองที่มีพลังอำนาจและศักยภาพเหมือนฝ่ายบริหาร
- ฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐบาลต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นประจำทุกวันตราบเท่าที่ยังเป็นรัฐบาลอยู่
จึงมีโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับประชาชนตลอดเวลา ทำให้สามารถรับรู้ถึงความต้องการของประชาชนตลอดจนรับทราบปัญหาต่าง
ๆ ที่ประชาชนและประเทศชาติกำลังประสบอยู่ ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบมากกว่าฝ่ายนิติบัญญัติและจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมากถ้าหากฝ่ายบริหารจะมีบทบาทในการกำหนดนโยบายสาธารณะต่าง
ๆ มากยิ่งขึ้นแทนที่จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติเพียงฝ่ายเดียว
เมื่อฝ่ายบริหารมีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายสาธารณะเช่นเดียวกับฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว
ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือเมื่อมีการแบ่งอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะระหว่างฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐบาล (ฝ่ายการเมือง) กับฝ่ายข้าราชการประจำ
(ฝ่ายบริหาร) มีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด ในปัจจุบันประเด็นปัญหาข้อนี้เป็นประเด็นที่นักวิชาการมีความคิดแยกเป็น
2 แนวคิด คือ
แนวคิดที่1 แยกบทบาทและหน้าที่ของฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหารออกจากกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนบทบาทที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ
นักวิชาการที่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เห็นว่าบทบาทในการกำหนดและควบคุมนโยบายควรเป็นของฝ่ายการเมือง
ส่วนฝ่ายบริหารนั้นมีบทบาทและหน้าที่เฉพาะการนำนโยบายไปปฏิบัติแนวคิดแรกนี้เป็นทรรศนะของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งได้เสนอแนวคิดนี้ไว้ในช่วงระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 - 20 อาทิ Woodrow
Wilson, Frank Goodnow และ Leonard
White โดยมีเหตุผลสำคัญที่ยกขึ้นมาอธิบายสนับสนุน แนวคิด ความเชื่อของกลุ่มสรุปได้
5 ประการ คือ
1.
ความต้องการที่จะให้มีการควบคุมและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจเกินขอบเขตจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและประเทศชาติ
จึงสมควรแยกฝ่ายการเมืองออกจากฝ่ายบริหาร และยอมรับอำนาจการควบคุมที่เหนือกว่าของฝ่ายการเมือง
แต่ขณะเดียวกันฝ่ายบริหารหรือข้าราชการประจำก็สามารถถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายการเมืองได้ในระดับหนึ่งด้วย
2.
ความต้องการของฝ่ายการเมืองและฝ่ายบริหารมีความต้องการที่จะได้ตัวบุคคลที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันกล่าวคือ
เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่ายมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แต่ละฝ่ายจึงต้องการได้ตัวบุคคลที่ดีที่สุด
เหมาะสมที่สุดเข้าดำรงตำแหน่ง แต่ลักษณะของงานในหน้าที่ของแต่ละฝ่ายมีความแตกต่างกัน
ดังนั้นจึงต้องการตัวบุคคลที่มีคุณสมบัติต่างกันไปด้วย กล่าวคือ โดยทั่วไปฝ่ายการเมืองต้องการบุคคลที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
มีความสำนึกรับผิดชอบ ตั้งใจและบริสุทธิ์ใจที่จะสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ ตลอดจนเป็นผู้ที่แสดงให้เห็นว่ามีความสนใจหรือความถนัดในกิจกรรมทางการเมืองด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ
ส่วนฝ่ายบริหารหรือราชการประจำนั้นมีความต้องการผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งได้ต้องมีคุณสมบัติโดยทั่วไปเหมือนกับกับฝ่ายการเมืองแล้ว
บุคคลนั้นจะต้องมีระดับความรู้ที่สูงมากกว่าและมีคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ อีก เช่น ต้องมีระดับความรู้หรือสติปัญญาดีมีเชาวน์ปัญญาและไหวพริบในการแก้ปัญหาและตัดสินใจได้รวดเร็วและถูกต้อง
มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีลักษณะความเป็นผู้นำที่ดี เป็นต้น
3.
ฝ่ายการเมืองและฝ่ายบริหารมีระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งไม่เท่าเทียมกัน
กล่าวคือในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย กฎหมายรัฐธรรมนูญจะระบุระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งการเมืองไว้ชัดเจน
เช่น 2 ปี หรือ 4 ปี เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุเอาไว้
หรือเมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองนั้นต้องพ้นจากตำแหน่งนั้นไป
และอาจเข้าดำรงตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งใหม่ใด ๆ อีกก็ได้ถ้าหากได้รับการเลือกตั้งอีก
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า
ฝ่ายการเมืองมีความมั่นคงถาวรในตำแหน่งภายในระยะเวลาอันจำกัด ส่วนฝ่ายบริหารหรือราชการประจำนั้นเมื่อบุคคลใดก็ตามได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการประจำแล้ว
จะดำรงสถานภาพความเป็นข้าราชการประจำตลอดไป จนกว่าจะครบเกษียณอายุถ้าหากไม่ต้องโทษทางวินัย
เสียชีวิต หรือลาออกด้วยความสมัครใจ ฝ่ายบริหารหรือข้าราชการประจำจึงมีความมั่นคงถาวรในการดำรงตำแหน่งมากกว่าฝ่ายการเมือง
ดังนั้นจึงควรแบ่งแยกสองฝ่ายออกจากกัน เพื่อให้แต่ละฝ่ายได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าดำรงตำแหน่งได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
4.ความต้องการที่จะประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวคือ ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น
ถือว่าสิทธิเสรีภาพเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและพึงหวงแหน แต่การลิดรอนสิทธิ เสรีภาพของประชาชนด้วยกันเอง
การแบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ยังไม่เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้เพียงพอตราบใดที่ยังมิได้แบ่งแยกฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหารออกจากกันให้ชัดเจน
ทั้งนี้เพราะฝ่ายการเมืองอาจจะใช้ฝ่ายบริหารเป็นเครื่องมือในการกดขี่ ประชาชนได้ หรือเมื่อฝ่ายใดใช้อำนาจเกินขอบเขตไปกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของประชาชนแล้วจะไม่มีฝ่ายตรงกันข้ามคอยถ่วงดุลอำนาจไว้
ประชาชนจะเป็นฝ่ายได้รับความเสียหายเพียงฝ่ายเดียว แต่ถ้าหากแยกฝ่ายการเมืองออกจากฝ่ายบริหารก็จะช่วยควบคุมและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
5.
การปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายการเมืองและฝ่ายบริหารมีความต้องการให้บรรลุผลสำเร็จหรือมีประสิทธิผลเช่นเดียวกัน
แต่แนวทางหรือวิถีทางสู่ความสำเร็จมีความแตกต่างกัน กล่าวคือในการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหาร
ต้องการความอิสระในการพิจารณาตัดสินใจในระดับหนึ่ง ฝ่ายบริหารไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาครอบงำหรือใช้ข้าราชการประจำไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อหวังผลประโยชน์ในทางการเมือง
ฝ่ายการเมืองก็ไม่ต้องการให้ฝ่ายบริหารใช้อิทธิพลข่มขู่หรือกลั่นแกล้งการปฏิบัติงานของตนจนทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ดังนั้น จึงควรแบ่งแยกฝ่ายการเมืองและฝ่ายบริหารออกจากกันแนวคิดที่ 2 ไม่ควรแบ่งแยกบทบาทและหน้าที่ของฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหารออกจากกันโดยสภาพความเป็นจริงที่พบเห็นโดยทั่วไปฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหารมิได้ปฏิบัติหน้าที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน
ทั้งสองฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะที่ช่วยเหลือหรือสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
จนบางครั้งมีการกล่าวหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงในอีกฝ่ายหนึ่ง แนวคิดนี้เป็นความคิดเห็นของนักรัฐศาสตร์และนักรัฐประศาสนศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับทรรศนะของแนวคิดแรก
โดยนักวิชาการกลุ่มนี้ได้อธิบายโต้แย้งโดยยกเอาเหตุผลเชิงประจักษ์ (empirical) มาหักล้างเหตุผลเชิงปทัสถาน
(normative) ของแนวคิดแรก กล่าวคือ
1.
โครงสร้าง ระบบบริหารหรือระบบราชการมีฐานะเป็นระบบย่อย ระบบหนึ่งของระบบการเมืองเช่นเดียวกับระบบรัฐสภา
ระบบรัฐบาล ระบบเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมืองและระบบย่อยอื่น ๆ
ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะแบ่งแยกระบบบริหารออกจากระบบการเมืองได้
ดังภาพ

ภาพแสดงระบบย่อยต่าง
ๆ ของระบบการเมือง
2.
ด้านกระบวนการดำเนินงาน จะเห็นว่าการบริหารเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการทางการเมือง
จากผลงานการศึกษาถึงกระบวนการทางการเมืองสหรัฐอเมริกาโดย Paul Appleby พบว่ามีกระบวนการทางการเมือง ประกอบด้วย 8 กระบวนการ
คือ
- กระบวนการคัดเลือกผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดี
- กระบวนการคัดเลือกผู้สมัครตำแหน่งอื่น
- กระบวนการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
- กระบวนการนิติบัญญัติ
- กระบวนการยุติธรรมทางศาล
- กระบวนการบริหารงานของพรรคการเมือง
- กระบวนการของกลุ่มต่อต้านทางการเมือง
- กระบวนการทางการบริหาร
3.)
ด้านพฤติกรรม พฤติกรรมทางบริหารเป็นส่วนที่ต่อเนื่องกันของพฤติกรรมทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทและหน้าที่ที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะแล้ว
เป็นการยากที่จะกล่าวอ้างได้แน่นอนว่า ฝ่ายการเมืองเท่านั้นที่มีบทบาทและหน้าที่ในการกำหนดนโยบายสาธารณะ
และฝ่ายบริหารมีหน้าที่นำนโยบายนั้นไปปฏิบัติ ในทางตรงกันข้าม จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการได้ศึกษาถึงพฤติกรรมการกำหนดนโยบายสาธารณะของประเทศพัฒนาแล้ว
หรือ ประเทศกำลังพัฒนาก็ดี พบว่า ฝ่ายบริหารหรือข้าราชการประจำเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดนโยบายสาธารณะต่าง
ๆ ซึ่งพฤติกรรมนี้ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือรับใช้ฝ่ายการเมือง และนักวิชาการบางคนถึงกับยืนยันว่าเป็นความจำเป็นที่ต้อง
ให้ฝ่ายบริหาร
หรือข้าราชการประจำเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะให้มากขึ้น ทั้งนี้เพราะฝ่ายบริหารหรือข้าราชการประจำเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานที่ต่อเนื่องและยาวนานมากกว่าฝ่ายการเมือง
รับรู้ข่าวสารข้อมูลด้านต่าง ๆ และควบคุมกลไกสำคัญที่นำเอานโยบายไปสู่การปฏิบัติด้วย
ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงสามารถชักจูง ชี้นำ หรือเสนอแนะความคิดริเริ่ม และร่างข้อเสนอของนโยบายสาธารณะให้ฝ่ายการเมืองพิจารณาและยอมรับเป็นนโยบายสาธารณะต่อไปได้ในปัจจุบันนี้แนวคิดที่จะแบ่งอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหารออกจากกันอย่างเด็ดขาดนั้นเป็นแนวคิดที่ล้าสมัย
ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ในที่สุดทฤษฎีการแบ่งอำนาจคงจะไม่มีบทบาทในการศึกษานโยบายสาธารณะ
แต่จะเกิดทฤษฎีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
(Dependency theory) ที่แต่ละฝ่ายจะใช้ศักยภาพ ความเข้มแข็งของแต่ละฝ่ายช่วยกันกำหนดและปรุงแต่งนโยบายสาธารณะให้มีลักษณะที่ดีที่สุดเหมาะสมที่สุด
และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติให้มากที่สุด
ช่วยสรุปได้มั้ยค่ะ ว่าเนื้อหาที่นำมามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับนโยบายสาธารณะ
ตอบลบ